ฝากไว้เตือนเพื่อนหญิง
วันนี้คือวันที่เราสูญเสียคุณแม่ไปครบ 100 วันพอดี
ใช่ค่ะ .. ยังคงเสียใจ แต่ก็เริ่มทำใจได้บ้าง แม้จะยังไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
แม่จากไปในวัย 62 ปี ด้วยโรคมะเร็งเต้านมระยะรุกราม หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจก็คือระยะสุดท้ายนั่นแหละ
เราไม่ได้อยู่กับแม่ตลอดเวลา .. เพราะด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัด ก็จะได้อยู่กับแม่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
และนี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถดูแลท่านได้เต็มที่ อย่างที่ควรจะทำ
หลายคนอาจสงสัยว่า.. มะเร็งเต้านม .. ถ้ารู้ก่อนก็รักษาหายไม่ใช่หรอ ??
ใช่ค่ะ.. ถ้ารู้ก่อน ก็มีโอกาสที่จะรักษาหาย หรือสามารถยืดอายุผู้ป่วยให้นานขึ้นได้อย่างน้อยก็ 5-10 ปี
แต่มันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ... เพราะด้วยอาการของโรคนี้มันจะไม่แสดงออกให้เรารู้ตัวอย่างชัดเจน
แต่ก็ไม่ถึงกับไม่แสดงอาการอะไรให้เรารู้ตัวเลย
สำหรับในเคสของแม่เรา ท่านสังเกตตัวเองบ้าง แต่หลังเกษียรอายุราชการ ท่านก็ไม่ค่อยได้เข้าตรวจสุขภาพ
เพราะมองว่าตัวเองแข็งแรงดี และมีโรคประจำตัวเพียงแค่ความดันเหมือนคนแก่ทั่วไปเท่านั้น
ท่านออกกำลังกายด้วยการเดินในตอนเช้าๆ การทานอาหารส่วนใหญ่ก็ปรุงเอง และทานยาเฉพาะยาความดัน
อาการแรก เราจำไม่ได้ว่านานแค่ไหน แต่น่าจะเกิน 1 ปีนะคะ
แม่บอกว่าเหมือนมีก้อนอะไรที่ใต้รักแร้ทางด้านขวา ให้เราลองจับดู .. พอเราจับ ก็รับรู้ได้ถึงก้อนดังกล่าวที่มีขนาดประมาณลูกมะนาวได้
แต่ด้วยความไม่ใช่หมอ .. นั่นก็เลยทำให้ไม่ได้เอะใจอะไร .. ได้แต่บอกแม่ว่าปวดมั้ย ไปหาหมอดีมั้ย แค่นั้น
และก้อนนี้.. มันก็แค่แข็งๆ และไม่ปวดด้วย
ผ่านมาซักระยะ อาการที่ 2 ของโรคก็เริ่มต้นขึ้น
บริเวณหัวนมด้านขวาของแม่มีลักษณะด้านๆ แข็งๆ และบุ๋มลงไป บีบไม่เจ็บและไม่รู้สึก แต่เป็นไม่มากนะคะ เล็กประมาณปลายสำลีปั่นหู
แม่มาบอกให้เราดู.. ซึ่งเราก็พูดเหมือนเดิมว่าแม่ไปหาหมอดีมั้ย .. แต่ด้วยความที่ท่านไม่เจ็บปวดและอายคุณหมอ
นั่นแหละ.. ก็ไม่ได้ไป... อีกเช่นเคย
จนเมื่อต้นปี 2561 แม่เริ่มมีอาการปวดที่แขนข้างขวา
แต่ท่านก็ยังคงเข้าใจผิด คิดว่าเป็นอาการปวดจากการนอนทับแขนตัวเอง จึงยังคงไม่ได้ไปหาหมอ
ด้วยความที่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดี อาการผิดปกติที่เห็นชัดเจนก็ยังไม่เกิดขึ้น ท่านจึงคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร
ส่วนเราก็เห็นแม่แข็งแรงดี ทานอาหารได้ปกติ ออกกำลังกายด้วยการไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านในตอนเช้าได้ปกติ
แถมยังมีไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ วัยเกษียรด้วยกันได้ด้วย
จนเมื่อยายล้มป่วย (ยายเราท่านอายุ 95 นะคะ เป็นอัลไซด์เมอร์ด้วย) .. ทำให้แม่เราต้องดูแลยายมากขึ้นกว่าเดิม
ทำให้ท่านไม่มีเวลาพักผ่อน และก็เป็นเหตุให้ร่างกายทรุดลงเรื่อยๆ จากการอ่อนเพลีย และอ่อนล้า
อาการของแม่เราก็เริ่มแสดงออก .. อาการเหมือนป่วยเป็นไข้หวัด มีอาการไอ ปวดท้อง ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด และอ่อนเพลีย
ในช่วงระยะเวลา 1 เดือน อาการพวกนี้ไม่หาย .. แม่เลือกใช้การหาหมอที่คลินิคแถวบ้าน และซื้อยากินเอง
(หมอที่คลินิกให้ยามากินและฉีด วินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ แต่พอไม่หายแม่ก็ซื้อยากินเอง เพราะไม่มีเวลาไปหาหมอ)
เป็นแบบนี้มาร่วมๆ 1 เดือน อาการแม่ก็ทรุดลงเรื่อยๆ เรากลับบ้านมาหาแม่ ตกใจมาก เห็นแม่แล้วร้องไห้เลย
ปกติเราคุยโทรศัพท์กับแม่.. ท่านก็บอกว่าโอเคดี เพราะอาจจะไม่อยากให้เราเป็นห่วง -.-"
จนอาการของแม่ถึงขั้นหนักสุดคือตัวเหลือง ซีด ลิ้นเริ่มแข็ง พูดฟังไม่ค่อยชัดและมีเลือดออกที่บริเวณทวารหนัก
นี่คืออาการที่แม่ยอมพาตัวเองไปหาหมอ เราพาแม่ไป.. ตอนนั้นหมอวินิจฉัยว่าเป็น "โรคตับ" แต่ต้องรอตรวจให้แน่ใจก่อน
และด้วยโรงพยาบาลของรัฐบาลที่แม่เรามีสิทธิ์รักษาอยู่นั้น ผลอะไรต่างๆ ช้ามาก แม่รักษาตามอาการอยู่ 9 วัน
ก่อนที่เชื้อจะขึ้นสมองและจากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามไปปอดและกระดูก
อาการตัวเหลือง.. มาจากการทานยาหนักช่วงที่ท่านคิดว่าตัวเองป่วยและต้องดูแลคุณยาย
เราเสียใจมากที่สุด .. เพราะเป็นคนเดียวในบ้านที่แม่บอกทุกอย่างเกี่ยวกับอาการต่างๆ
แต่เรากลับไม่ได้เอะใจหรือพาท่านไปหาหมอตั้งแต่ตอนแรกอย่างที่ควรทำ
ช่วงเวลาสุดท้ายของท่าน.. เราลาแบบไม่รับเงินเดือน แล้วดูแลท่านที่ป่วยอยู่ในห้อง ICU
และเราก็ทำได้เพียงแค่นั้น เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย
เราตัดสินใจไม่ปั้มหัวใจท่าน .. เราอยากให้ท่านไปอย่างสงบ
แม้มันจะเป็นการตัดสินใจที่ทรมานและบีบหัวใจของเรามาก .. แต่ถ้าต้องเห็นแม่ทรมาน เราเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน
วันนี้เราไปทำบุญให้ท่านมาค่ะ ยังคงคิดถึงและร้องไห้อยู่
แต่สักวันจะเข้มแข็ง เพราะแม่ของเรา ท่านอยากให้เราเข้มแข็งเหมือนท่านที่เลี้ยงดูลูกมาคนเดียวตลอด
เอาจริงเราไม่ได้ครึ่งของแม่เลยด้วยซ้ำ อ่อนแอที่สุด และยิ่งวันนี้เรายิ่งรู้ตัวเองว่าเราอ่อนลงมากเมื่อไม่มีแม่
เหมือนกำลังใจมันขาดไป
แต่วันนี้เราจะทำทุกอย่างให้ท่าน...เราจึงเก็บเอาเรื่องราวของท่าน มาเขียนไว้เพื่อเตือนสติเพื่อนหญิง
ว่าหากมีอาการอย่าคิดไปเอง หรือรักษาด้วยการซื้อยากินเองนะคะ มันไม่คุ้มเลยค่ะ
ไปหาคุณหมอตรวจให้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง เพื่อจะได้รักษาอย่างถูกต้อง และตรงจุดดีกว่า
และที่สำคัญอย่าอายคุณหมอ .. ผู้หญิงอย่างเราๆ น่ากลัวทั้งมะเร็งเต้านม และ มะเร็งปากมดลูก
ไปตรวจสุขภาพทุกปีนะคะ เพื่อตัวเองและคนที่คุณรัก เชื่อเถอะค่ะว่า มันสำคัญจริงๆ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
เจ้าของกระทู้
ฝากไว้เตือนเพื่อนหญิง
วันนี้คือวันที่เราสูญเสียคุณแม่ไปครบ 100 วันพอดี
ใช่ค่ะ .. ยังคงเสียใจ แต่ก็เริ่มทำใจได้บ้าง แม้จะยังไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
แม่จากไปในวัย 62 ปี ด้วยโรคมะเร็งเต้านมระยะรุกราม หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจก็คือระยะสุดท้ายนั่นแหละ
เราไม่ได้อยู่กับแม่ตลอดเวลา .. เพราะด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัด ก็จะได้อยู่กับแม่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
และนี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถดูแลท่านได้เต็มที่ อย่างที่ควรจะทำ
หลายคนอาจสงสัยว่า.. มะเร็งเต้านม .. ถ้ารู้ก่อนก็รักษาหายไม่ใช่หรอ ??
ใช่ค่ะ.. ถ้ารู้ก่อน ก็มีโอกาสที่จะรักษาหาย หรือสามารถยืดอายุผู้ป่วยให้นานขึ้นได้อย่างน้อยก็ 5-10 ปี
แต่มันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ... เพราะด้วยอาการของโรคนี้มันจะไม่แสดงออกให้เรารู้ตัวอย่างชัดเจน
แต่ก็ไม่ถึงกับไม่แสดงอาการอะไรให้เรารู้ตัวเลย
สำหรับในเคสของแม่เรา ท่านสังเกตตัวเองบ้าง แต่หลังเกษียรอายุราชการ ท่านก็ไม่ค่อยได้เข้าตรวจสุขภาพ
เพราะมองว่าตัวเองแข็งแรงดี และมีโรคประจำตัวเพียงแค่ความดันเหมือนคนแก่ทั่วไปเท่านั้น
ท่านออกกำลังกายด้วยการเดินในตอนเช้าๆ การทานอาหารส่วนใหญ่ก็ปรุงเอง และทานยาเฉพาะยาความดัน
อาการแรก เราจำไม่ได้ว่านานแค่ไหน แต่น่าจะเกิน 1 ปีนะคะ
แม่บอกว่าเหมือนมีก้อนอะไรที่ใต้รักแร้ทางด้านขวา ให้เราลองจับดู .. พอเราจับ ก็รับรู้ได้ถึงก้อนดังกล่าวที่มีขนาดประมาณลูกมะนาวได้
แต่ด้วยความไม่ใช่หมอ .. นั่นก็เลยทำให้ไม่ได้เอะใจอะไร .. ได้แต่บอกแม่ว่าปวดมั้ย ไปหาหมอดีมั้ย แค่นั้น
และก้อนนี้.. มันก็แค่แข็งๆ และไม่ปวดด้วย
ผ่านมาซักระยะ อาการที่ 2 ของโรคก็เริ่มต้นขึ้น
บริเวณหัวนมด้านขวาของแม่มีลักษณะด้านๆ แข็งๆ และบุ๋มลงไป บีบไม่เจ็บและไม่รู้สึก แต่เป็นไม่มากนะคะ เล็กประมาณปลายสำลีปั่นหู
แม่มาบอกให้เราดู.. ซึ่งเราก็พูดเหมือนเดิมว่าแม่ไปหาหมอดีมั้ย .. แต่ด้วยความที่ท่านไม่เจ็บปวดและอายคุณหมอ
นั่นแหละ.. ก็ไม่ได้ไป... อีกเช่นเคย
จนเมื่อต้นปี 2561 แม่เริ่มมีอาการปวดที่แขนข้างขวา
แต่ท่านก็ยังคงเข้าใจผิด คิดว่าเป็นอาการปวดจากการนอนทับแขนตัวเอง จึงยังคงไม่ได้ไปหาหมอ
ด้วยความที่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดี อาการผิดปกติที่เห็นชัดเจนก็ยังไม่เกิดขึ้น ท่านจึงคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร
ส่วนเราก็เห็นแม่แข็งแรงดี ทานอาหารได้ปกติ ออกกำลังกายด้วยการไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านในตอนเช้าได้ปกติ
แถมยังมีไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ วัยเกษียรด้วยกันได้ด้วย
จนเมื่อยายล้มป่วย (ยายเราท่านอายุ 95 นะคะ เป็นอัลไซด์เมอร์ด้วย) .. ทำให้แม่เราต้องดูแลยายมากขึ้นกว่าเดิม
ทำให้ท่านไม่มีเวลาพักผ่อน และก็เป็นเหตุให้ร่างกายทรุดลงเรื่อยๆ จากการอ่อนเพลีย และอ่อนล้า
อาการของแม่เราก็เริ่มแสดงออก .. อาการเหมือนป่วยเป็นไข้หวัด มีอาการไอ ปวดท้อง ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด และอ่อนเพลีย
ในช่วงระยะเวลา 1 เดือน อาการพวกนี้ไม่หาย .. แม่เลือกใช้การหาหมอที่คลินิคแถวบ้าน และซื้อยากินเอง
(หมอที่คลินิกให้ยามากินและฉีด วินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ แต่พอไม่หายแม่ก็ซื้อยากินเอง เพราะไม่มีเวลาไปหาหมอ)
เป็นแบบนี้มาร่วมๆ 1 เดือน อาการแม่ก็ทรุดลงเรื่อยๆ เรากลับบ้านมาหาแม่ ตกใจมาก เห็นแม่แล้วร้องไห้เลย
ปกติเราคุยโทรศัพท์กับแม่.. ท่านก็บอกว่าโอเคดี เพราะอาจจะไม่อยากให้เราเป็นห่วง -.-"
จนอาการของแม่ถึงขั้นหนักสุดคือตัวเหลือง ซีด ลิ้นเริ่มแข็ง พูดฟังไม่ค่อยชัดและมีเลือดออกที่บริเวณทวารหนัก
นี่คืออาการที่แม่ยอมพาตัวเองไปหาหมอ เราพาแม่ไป.. ตอนนั้นหมอวินิจฉัยว่าเป็น "โรคตับ" แต่ต้องรอตรวจให้แน่ใจก่อน
และด้วยโรงพยาบาลของรัฐบาลที่แม่เรามีสิทธิ์รักษาอยู่นั้น ผลอะไรต่างๆ ช้ามาก แม่รักษาตามอาการอยู่ 9 วัน
ก่อนที่เชื้อจะขึ้นสมองและจากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามไปปอดและกระดูก
อาการตัวเหลือง.. มาจากการทานยาหนักช่วงที่ท่านคิดว่าตัวเองป่วยและต้องดูแลคุณยาย
เราเสียใจมากที่สุด .. เพราะเป็นคนเดียวในบ้านที่แม่บอกทุกอย่างเกี่ยวกับอาการต่างๆ
แต่เรากลับไม่ได้เอะใจหรือพาท่านไปหาหมอตั้งแต่ตอนแรกอย่างที่ควรทำ
ช่วงเวลาสุดท้ายของท่าน.. เราลาแบบไม่รับเงินเดือน แล้วดูแลท่านที่ป่วยอยู่ในห้อง ICU
และเราก็ทำได้เพียงแค่นั้น เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย
เราตัดสินใจไม่ปั้มหัวใจท่าน .. เราอยากให้ท่านไปอย่างสงบ
แม้มันจะเป็นการตัดสินใจที่ทรมานและบีบหัวใจของเรามาก .. แต่ถ้าต้องเห็นแม่ทรมาน เราเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน
วันนี้เราไปทำบุญให้ท่านมาค่ะ ยังคงคิดถึงและร้องไห้อยู่
แต่สักวันจะเข้มแข็ง เพราะแม่ของเรา ท่านอยากให้เราเข้มแข็งเหมือนท่านที่เลี้ยงดูลูกมาคนเดียวตลอด
เอาจริงเราไม่ได้ครึ่งของแม่เลยด้วยซ้ำ อ่อนแอที่สุด และยิ่งวันนี้เรายิ่งรู้ตัวเองว่าเราอ่อนลงมากเมื่อไม่มีแม่
เหมือนกำลังใจมันขาดไป
แต่วันนี้เราจะทำทุกอย่างให้ท่าน...เราจึงเก็บเอาเรื่องราวของท่าน มาเขียนไว้เพื่อเตือนสติเพื่อนหญิง
ว่าหากมีอาการอย่าคิดไปเอง หรือรักษาด้วยการซื้อยากินเองนะคะ มันไม่คุ้มเลยค่ะ
ไปหาคุณหมอตรวจให้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง เพื่อจะได้รักษาอย่างถูกต้อง และตรงจุดดีกว่า
และที่สำคัญอย่าอายคุณหมอ .. ผู้หญิงอย่างเราๆ น่ากลัวทั้งมะเร็งเต้านม และ มะเร็งปากมดลูก
ไปตรวจสุขภาพทุกปีนะคะ เพื่อตัวเองและคนที่คุณรัก เชื่อเถอะค่ะว่า มันสำคัญจริงๆ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
เจ้าของกระทู้